วันพุธที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2555

modern art



ส่วน ข : รายละเอียดการทำวิจัย
1.      ชื่อโครงการวิจัย  model arts
     
2. ที่มาและความสำคัญของปัญหาการวิจัย
"ผมคิดว่าประเด็นสำคัญของศิลปะในยุคโม เดิร์น สิ่งที่เป็นประเด็นหลักๆของยุคนี้ก็คือ จะเน้นในเรื่องของ originality ซึ่งหมายความว่า ให้ความสำคัญเกี่ยวกับ"ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เป็นของตนเอง และไม่เหมือนใคร". ในคณะวิจิตรศิลป์ เท่าที่ผ่านมายังมุ่งเน้นให้นักศึกษาค้นหา original ตัวนี้ ซึ่งอันนี้คือเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์อันหนึ่งของศิลปะในยุคโมเดิร์น
ต่อมา ศิลปะในยุคโมเดิร์น จะเน้นและให้ความสำคัญในผลงานศิลปะที่สร้างสรรค์ขึ้นมาแล้วต้องมี unity หรือ"เอกภาพ"ในงาน. งานศิลปะชิ้นใดก็ตามที่ทำออกมาแล้ว ขาดเอกภาพ ก็จะไม่ถือว่าเป็นผลงานศิลปะที่ดี
ประการต่อมา ศิลปะในยุคโมเดิร์น ได้มีการแบ่งแยกระหว่าง High arts กับ Low Arts ออกจากกัน. งานศิลปะซึ่งเป็นที่ยอมรับกันที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์ทางศิลปะ หรือหอศิลป์ต่างๆ รวมทั้งผลงานศิลปะที่นักศึกษาทำกันขึ้นมา โดยร่ำเรียนกันมาจากสถาบันสอนศิลปะ เราจะจัดให้ศิลปะเหล่านี้อยู่ในกลุ่มของ High Arts. ขณะเดียวกัน เราก็กันเอางานศิลปะที่ไม่ได้ผลิตขึ้นมาจากสถาบัน หรือผู้เชี่ยวชาญทางศิลปะ(ซึ่งอาจไม่ต้องเรียนมาจากสถาบันใดเลยก็ได้) รวมทั้งงานที่ไม่ได้ผลิตขึ้นมาจากกลุ่มผู้ทำงานในกระแสหลักว่า Low Arts, อันนี้ก็อย่างเช่น ศิลปะนอกกระแสต่างๆ ศิลปะของชาวบ้าน หรือศิลปะของใครก็ตามที่ทำกันโดยบุคคลซึ่งไม่ได้อยู่ในวงการศิลปะ เช่น ศิลปะข้างถนนของสมัชชาคนจน เป็นต้น.
อันต่อมา ศิลปะในยุคโมเดิร์น เน้นสไตล์ของศิลปะที่เป็น international หรือความเป็น universal อันนี้หมายความว่า ผลงานศิลปะและรวมไปถึงสถาปัตยกรรม จะต้องมีสไตล์ที่มีความเป็นนานาชาติ หรือมีความเป็นสากล. ศิลปินไม่ว่าชาติใด อยู่ในเขตภูมิศาสตร์ไหน หรือวัฒนธรมจะแตกต่างกันอย่างไรก็ตาม เช่น เอเชีย ยุโรป อเมริกา แอฟริกา สไตล์ที่ผลิตออกมาจะต้องมีลักษณะเป็น international โดยเฉพาะอย่างยิ่ง งานทางด้านสถาปัตยกรรมจะมีแนวโน้มในลักษณะนี้มากตามเมืองใหญ่ๆของโลก"

3. วัตถุประสงค์การวิจัย
    3.1  เพื่อศึกษากระบวนการออกแบบศิลปะแบบmodern art
     3.2  เพื่อผลิตผลงานในรูปแบบmodern
4. สมมติฐานการวิจัย
เกิดจากการรักงานศิลปะชอบความเป็นงานของงานศิลปะเพื่อเป็นการพัฒนาตนเองและทำให้ผู้คนได้รับรู้ในผลงาน
5. นิยามศัพท์เฉพาะ
    ลักษณะเส้น เส้นที่ปรากฏให้เห็นจะแสดงแต่เฉพาะคุณลักษณะในด้าน  ความยาว ส่วนความกว้างและความหนานั้นปรากฏให้เห็นน้อยมาก ส่วนการเรียกชื่อเส้นจะแตกต่างกันไปตามลักษณะที่ปรากฏให้เห็น เช่น เส้นตรง เส้นเฉียง เส้นซิกแซก เส้นโค้ง เส้นอิสระ ซึ่งจะมีอิทธิพลแสดงความรู้สึกจากการรับรู้ให้แตกต่างกัน  การวาดเส้นตามแบบหรือเหมือนจริง หมายถึง การวาดภาพโดยเทคนิคการใช้เส้นจากสิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาติตามที่สายตามองเห็น สิ่งสำคัญในการสร้างสรรค์ภาพให้เหมือนจริงนั่นคือ การแสดงน้ำหนักแสงเงาให้ถูกต้อง การแสดงสัดส่วนของวัตถุตามแบบของจริงที่เห็นการเขียนภาพตามแบบหรือเหมือน จริง คือการใช้ดินสอดำแรเงาภาพนั้น น้ำหนักอ่อนแก่ขึ้นอยู่กับการใช้แรงกดหนักเบาไล่น้ำหนักตามต้องการ            
การออกแบบ หมายถึง การเลือกสรรส่วนประกอบต่างๆทางด้านศิลปะมาจัดเป็นรูปแบบต่างๆขึ้นรวมถึงแนวความคิดของศิลปินในการจัดองค์ประกอบศิลป์ เช่นการจัดทิศทาง ขนาด รูปร่างของเส้น มุม และรูปทรงต่างๆ โดยเราต้องคำนึงถึงการจัดวาง ความสมดุลสิ่งเหล่านี้ที่เป็นส่วยประกอบของการออกแบบ
คุณสมบัติของสีน้ำ
                      1) สีน้ำเป็นสีที่มีลักษณะโปร่งใส เห็นเนื้อสีบางเบา เมื่อระบายสีน้ำลงบนกระดาษจะเห็นความใสของสีบนพื้นผิวกระดาษ
                      2) การกระบายสีน้ำจะต้องรู้จักการรอคอยจังหวะเวลา เพื่อกำหนดความชุ่มเปียก ความหมาดของพื้นผิวกระดาษในขณะที่ระบายสี เพื่อให้ได้ภาพตามที่ต้องการ
                     3) เมื่อต้องการให้สีดูสดใสชุ่มฉ่ำก็ให้ระบายสีน้ำสะอาดลงบนพื้นผิวกระดาษก่อน พอหมาด ๆ แล้วจึงลงสี สีที่ลงไปจะซึมเห็นความใสสวยงาม
                     4) ส่วนใดของภาพที่สว่างเป็นสีอ่อนก็ผสมกับน้ำมากขึ้น หรือเว้นเป็นที่ว่างขาวไว้
การเขียนภาพด้วยเทคนิคผสม
             การเขียนภาพด้วยเทคนิคผสม โดยวิธีการนำเทคนิคด้านต่าง ๆ มาผสมผสานกันในภาพเดียว นับเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งของการคิดสร้างสรรค์ ดัดแปลง เพื่อให้เกิดผลงานที่แปลกใหม่ และหลากหลายในการนำเสนอ
               สีน้ำกับการวาดเส้น มีวิธีเขียนภาพได้  2 แบบ คือ
                   1) วาดเส้นก่อนระบายสีน้ำ วิธีนี้ให้ปฏิบัติการวาดเส้นด้วยหมึก จะใช้พู่กันหรือปากกาจุ่มหมึก หรือจะใช้ปากกาชนิดต่าง ๆ ก็ได้ โดยเลือกหมึกชนิดไม่ละลายน้ำ แล้วจึงระบายสีน้ำลงไปจะดูสวยงามแปลงตาไปอีกแบบหนึ่ง
                      2) ระบายสีน้ำก่อนวาดเส้น วิธีนี้เป็นการระบายสีน้ำลงบนภาพที่ร่างเบา ๆ ด้วยดินสอ เมื่อระบายสีเสร็จแล้วต้องรอให้แห้งแล้วจึงใช้หมึกดำวาดเส้นทับหรือที่เรียก กันว่า
"ตัดเส้น"
สีน้ำกับเทคนิคระบายวิธีอื่น
1.             การเป่าสี คือ การหยดสีลงบนพื้น แล้วใช้แรงลมจากปากเป่า จะเกิดการไหลของสีเป็นกิ่งก้านคล้ายลักษณะของต้นไม้ ซึ่งเป็นรูปแบบฟอร์มอิสระ
2.             การรีดสี คือ การให้สีผสมกันเองตามธรรมชาติ โดยการบีบสีใส่กระดาษงาน แล้วนำกระดาษอีกแผ่นหนึ่งมาปิดทับ แล้วใช้นิ้วมือกดรีดมีที่อยู่ในกระดาษ จะเกิดการผสมกันเองตามธรรมชาติดูสวยงามขึ้น
3.             สีไหล คือ การไหลของสีบนพื้นกระดาษที่เปียกชุ่มน้ำ กรรมวิธีโดยนำน้ำทาที่ผิวกระดาษ แล้วนำสีแต้มหรือทาที่ผิวกระดาษชุ่มน้ำ แล้วตะแคงกระดาษ สีจะเกิดการไหลตามผิวน้ำ ดูสวยงามตามธรรมชาติอีกแบบหนึ่ง
สีโปสเตอร์
      สีโปสเตอร์ คือ สีที่ลักษณะเป็นสีทึบแสง มีขายลักษณะเป็นขวด มีทั้งชนิดสะท้อนแสงและไม่สะท้อนแสง
คุณสมบัติของสีโปสเตอร์
1.             เป็นสีชนิดทึบแสง จะทำให้สีอ่อนลงต้องผสมด้วยสีขาว
2.             ไม่ทนต่อสภาพดินฟ้าอากาศ
3.             สามารถระบายสีทับซ้อนสีเก่าได้
       สีน้ำกับสีโปสเตอร์  โดยใช้สีน้ำระบายภาพผสมกับการระบายด้วยสีโปสเตอร์เทคนิคผสมแบบนี้ไม่มีอะไร ซับซ้อน เพียงการเลือกลงสีของผู้ปฏิบัติว่าได้ออกแบบไว้ให้พื้นที่ส่วนใดเป็นสี โปสเตอร์และพื้นที่ส่วนใดเป็นสีน้ำเท่านั้น


6. ขอบเขตการวิจัย
    6.1  แบบร่าง(IDEA  SKETCH)
    6.2  แบบที่ทำการสรุป(CONCEPT  SKETCH)
    6.3  แบบเพื่อนำไปผลิต(WORKING  DRAWING  หรือ ART  WORK) 
    6.4  ต้นแบบเหมือนจริง(PROTOTYPE)
    6.5  รายงานการวิจัยจำนวน 3 ฉบับ 
    6.6  ซีดีรายงานการวิจัยจำนวน 1 ชุด

7. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
    7.1  กระบวนการออกแบบศิลปะmodern art
     7.2  ต้นแบบเหมือนจริงของศิลปะmodern art ขนาด80-120


8. การทบทวนวรรณกรรมและเอกสารอ้างอิง
   ในการวิจัยเรื่องการออกแบบmodern art ครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ตรงตามConcept ที่กำหนดไว้และเป็นงานที่ถูกต้องตามหลักทฤษฎีของสีและการจัดองค์ประกอบต่างๆ ในการออกแบบลวดลาย ผู้ศึกษาจึงใช้หลักการที่เกี่ยวข้องดังนี้
     8.1 ทฤษฎี
Modern Art
modern-art
คริสต์ทศวรรษ 1860-1970
โดยทั่วไปคำว่า โมเดิร์น (Modern คือคำวิเศษณ์ ตรงกับคำว่า สมัยใหม่ในภาษาไทย) หมายถึง ความใหม่ ความร่วมยุคร่วมสมัย ศิลปะล้วนแล้วแต่ ใหม่ (modern)” สำหรับผู้สร้างมัน ถึงแม้ว่าจะเป็น ยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยา (Renaissance, เรอเนอซองส์) ในฟลอเรนซ์ หรือในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ในนิวยอร์ค หรือศิลปะที่เขียนขึ้นในวันนี้ ในรูปแบบของศิลปะคริสต์ศตวรรษที่ 15 ก็ยัง ใหม่ (modern)” ในความหมายนี้
หรืออีกนัยหนึ่ง ในความหมายแบบกำปั้นทุบดินสมัยใหม่ก็คือ สิ่งที่ไม่เก่า สิ่งที่ตรงกันข้ามกับ เก่าหรือ ประเพณีดังเช่น ความสมัยใหม่ในบริบทของสังคมไทย ภาพเขียนของ ขรัวอินโข่ง หรือของ สมเด็จฯกรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ จึงสมัยใหม่สำหรับสังคมไทยในสมัยนั้นๆ
เรา(คนไทย) มักจะนึก ความเป็นฝรั่งพร้อมๆกับคำว่าสมัยใหม่ แต่ในความหมายเชิงประวัติศาสตร์ คำว่า โมเดิร์นในศิลปะตะวันตกหมายถึงยุคสมัยจำเพาะในทางประวัติศาสตร์ ระหว่างประมาณคริสต์ทศวรรษ 1860-1970 ในความหมายนี้สมัยใหม่ถูกใช้อธิบายรูปแบบและอุดมคติหรืออุดมการณ์ในการสร้าง สรรค์ในยุคนั้นๆ
ลักษณะสำคัญของ ศิลปะสมัยใหม่” (Modern Art) และ ลัทธิสมัยใหม่” (Modernism, โมเดิร์นนิสม์) คือ ทัศนคติใหม่ๆที่มีต่ออดีตและอนาคต ซึ่งเป็นไปแบบสุดขั้ว โดยเริ่มต้นมาตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 ที่ถือกันว่าเป็นยุคปฏิวัติของยุโรป ศิลปินเริ่มที่จะให้การยอมรับการเขียนภาพ เหตุการณ์ปัจจุบัน-ร่วมสมัยในยุคของตนว่า สามารถมีคุณค่าทางศิลปะได้เท่าเทียมกับภาพเขียนเรื่องราวในอดีตตั้งแต่ยุค โบราณ หรือยุคประวัติศาสตร์จากคัมภีร์ไบเบิล
การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองขนานใหญ่ทั่วยุโรปใน ปี 1848 ประกอบกับการอ่อนแรงของศิลปะแบบทางการ หรือ ศิลปะตามหลักวิชา (academic art) ทำให้กระแสศิลปะลัทธิสมัยใหม่ยิ่งเติบโต
จิตรกรแนว นีโอ-คลาสสิสม์ (Neo-Classicism) อย่าง ฌาค หลุยส์ ดาวิด (Jacques Louis David) เขียนภาพเหตุการณ์การปฏิวัติฝรั่งเศส จิตรกรแนว โรแมนติสิสม์ (Romanticism) อย่าง ฟรานซิสโก เดอ โกย่า (Francisco de Goya) เขียนภาพเหตุการณ์ตอนที่นโปเลียนจากฝรั่งเศสรุกรานสเปน เรื่องราวที่จิตรกรทั้งสองเขียนในภาพของพวกเขา ได้ช่วยแผ้วถางทางของศิลปะในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ดังที่เห็นได้จากงานศิลปะที่ปฏิเสธการเขียนภาพเกี่ยวกับอดีต ของศิลปิน เรียลลิสม์ (Realism, สัจนิยม) อย่างเช่น กุสตาฟ กูร์เบต์ (Gustave Courbet) และ เอดัวร์ มาเนต์ (Edouard Manet)
ในจุดเริ่มต้นของศิลปินสมัยใหม่ พวก อิมเพรสชันนิสต์ (Impressionist, Impressionism) และ โพสต์-อิมเพรสชันนิสต์ (Post-Impressionist, Post-Impressionism) จะทำการปฏิเสธทั้งการเขียนภาพเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ และยังไม่สนใจขนบของการสร้างภาพลวงตา (เขียนให้เหมือนจริงมาก) ซึ่งพัฒนามาตั้งแต่ ยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยา
ความใหม่คือสิ่งที่ศิลปินสมัยใหม่ให้ความสำคัญ ทัศนคติแบบนี้จะปรากฏให้เห็นในแนวคิดเกี่ยวกับ อาวองท์-การ์ด” (avant-garde, หัวก้าวหน้า) คำนี้เป็นศัพท์ทางการทหาร หมายถึง ทหารแนวหน้า (advance guard) ศิลปินอาวองท์-การ์ด หรือศิลปินหัวก้าวหน้า ได้กลายเป็นพวกที่ล้ำยุคล้ำสมัยของสังคม (ก้าวเร็วแซงหน้าจนชาวบ้านตามไม่ทัน) ถึงแม้ว่าความก้าวหน้ามากๆแบบนี้จะได้รับการยอมรับโดยทั่วไป แต่การที่ศิลปินอิสระจนหลุดพ้นไปจากกรอบของยุคสมัย บางทีก็ถูกปฏิเสธจากนักประวัติศาสตร์ศิลป์อยู่เหมือนกัน
บทบาทของผู้อุปถัมภ์ศิลปะในอดีตอย่าง ศาสนจักร รัฐ และขุนนาง ที่ลดลงไปอย่างมาก ได้เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ ลัทธิสมัยใหม่ พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว เพราะศิลปินสมัยใหม่จะมีอิสระเสรีที่จะคิดและทำศิลปะที่แตกต่างไปจากอดีต ซึ่งต้องทำตามความชอบของผู้ว่าจ้าง
นอกจากนี้ การค้าขายศิลปะตามระบบทุนนิยม ก็ยังเป็นตัวกระตุ้นให้ศิลปินทำการทดลองอะไรที่แปลกใหม่ คำว่าศิลปะเพื่อศิลปะที่เริ่มแพร่หลายในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 ก็ยิ่งกระจายออกไปอย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้น ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 คำๆนี้สามารถใช้อธิบายศิลปะที่เกิดจากความคิดส่วนตัวของศิลปิน ที่มีความเป็นปัจเจกสูงเสียจนไม่ต้องการการอ้างอิงไปถึงประเด็นทางสังคมและ ศาสนา
การเติบโตของ ศิลปะสมัยใหม่ เป็นส่วนหนึ่งของการที่สังคมตะวันตกได้เปลี่ยนผ่านไปสู่ความเป็นอุตสาหกรรม”, “ความเป็นเมืองใหญ่แบบมหานครและการเป็นสังคมแบบวัตถุนิยมอย่างเต็มที่ ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ศิลปินสมัยใหม่ได้ท้าทายรสนิยมของชนชั้นกลาง โดยหาเรื่องและประเด็นใหม่ๆ รูปแบบใหม่ๆ ที่ดูแปลกประหลาดไปจากระเบียบแบบแผนดั้งเดิม
ศิลปะสมัยใหม่มักจะมีแนวเนื้อหาเกี่ยวกับ การเฉลิมฉลองเทคโนโลยี การค้นหาจิตวิญญาณ และ การกระตุ้นด้วยความป่าเถื่อน (จากความสนใจในศิลปะของคนป่า (Primitivism)) ศิลปินได้แสดงออกแนวเนื้อหาเหล่านั้นออกมาในรูปแบบที่แตกต่างหลากหลาย
แนวเนื้อหาของการเฉลิมฉลองเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ได้ปรากฏออกมาในรูปของการชื่นชม ความเร็วดังที่เห็นได้จากศิลปะในลัทธิ ฟิวเจอร์ริสม์ (Futurism) การใช้แนวคิดในเชิงวิทยาศาสตร์ปรากฏให้เห็นในงานของพวก คอนสตรัคติวิสม์ (Constructivism ในสหภาพโซเวียต)
การค้นหาจิตวิญญานจะมีอยู่ในงานของพวก ซิมโบลลิสม์ (Symbolism ในยุโรปและสหรัฐอเมริกา) เดอ สตีล หรือ เดอะ สไตล์ (De Stijl/The Style ในเนเธอร์แลนด์) นาบิส (Nabis ในฝรั่งเศส ในคริสต์ศตวรรษ 1890) และ แดร์ บลาว ไรเตอร์ หรือ เดอะ บลู ไรเดอร์ (Der Blaue Reiter/The Blue Rider ในเมืองมิวนิค เยอรมนี) งานประเภทนี้ถือว่าเป็นปฏิกริยาโต้ตอบกับวัตถุนิยมในยุคสมัยใหม่
ความสนใจในความเถื่อนของศิลปะจากคนป่าและชาวเกาะ (อัฟริกันและชาวเกาะ หรือ โอเชียนนิค Oceanic) จะปรากฏชัดในงานของ โพสต์-อิมเพรสชันนิสม์ คิวบิสม์ (Cubism) และ เยอรมัน เอ็กซ์เพรสชันนิสม์ (German Expressionism ในเยอรมนีช่วงต้นคริสต์ศตวรรษ 20) ความสนใจในสิ่งเหล่านี้เป็นตัวสะท้อนให้เห็นผลของลัทธิ จักรวรรดินิยม” (Imperialism) ที่นิยมล่าอาณานิคม และอ้างว่าตน (ตะวันตก) ค้นพบวัฒนธรรมของดินแดนอันไกลโพ้นเหล่านั้น

ชื่อ : At the Moulin Rouge: Two Women Waltzing by Henri de Toulouse-Lautrec, 1892

I and the Village by Marc Chagall, 1911



       8.2 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
 8.2.1ศิลปะในศตวรรษที่ 20
ในสมัยนี้มีรูปแบบทางศิลปะเกิดขึ้นมาหลายลัทธิ ในที่นี้ขอยกตัวอย่างเพียงบางลัทธิ เช่น ลัทธิโฟวิสม์ (Fauvism) ลัทธิแนฟว์ (Na?ve) ลัทธิคิวบิสม์ (Cubism) ลัทธิฟิวเจอร์ริสม์ (Futurism) ลัทธิอภิปรัชญา (Metaphisical Painting) ลัทธินามธรรม (Abstract) ศิลปะแบบอ๊อป อาร์ต (Op. Art) เป็นต้น
        

 8.2.2 สมัย โฟวิสม์
ณ งานแสดงศิลปะที่ซาลงโดตอน ในปีค.ศ.1905 การแสดงครั้งนี้เป็นการแสดงผลงานที่คละเคล้ากันไประหว่างงานยุคเก่าและงานยุคใหม่ ในงานยุคเก่าคือ ผลงานประติมากรรมแบบ Renaissance ของศิลปินโดนาเตลโล กับงานยุคใหม่โดยจิตรกรร่วมสมัยในยุคนั้นซึ่งมีรูปแบบและสีสันที่รุนแรง ดุดัน อันเป็นลักษณะตรงกันข้ามกับศิลปะ Renaissance เลยทีเดียว
ดังนั้นเมื่อนักวิจารณ์ที่ชื่อ หลุยส์ โวเซลล์ได้เข้ามาชมงานจึงเกิดความรู้สึกว่า ผลงานของโดนาเตลโลอยู่ท่ามกลางสัตว์ป่า(fauv) ซึ่งสัตว์ป่าในที่นี้ หลุยส์ โวเซลล์หมายถึง ผลงานศิลปะร่วมสมัยที่แสดงอยู่ร่วมกันนั่นเอง แม้เขาวิจารณ์ด้วยความรู้สึกกระแทกแดกดันมากกว่าชื่นชม แต่กลุ่มศิลปินเหล่านี้กลับเห็นดีเห็นงามกับคำวิจารณ์ของเขาไปเสียนี่ ดังนั้นพวกเขาจึงยินดีใช้ชื่อกลุ่มว่า Fauvism ไปเสียเลย
ศิลปะแนวนี้เกิดขึ้นที่ฝรั่งเศสโดย อองรี มาติสส์ คือผู้นำของกลุ่ม งานของพวกเขาเป็นการหาแนวทางใหม่ให้กับโลกศิลปะ ฉีกกฎเกณฑ์เก่า ๆ อันคร่ำครึ สร้างงานตามสัญชาตญาณการแสดงออกอย่างเต็มที่ ใช้สีสดใส รุนแรง มีลีลาสนุกสนาน มีการตัดเส้นอย่างเด่นชัด แม้ว่าจะใช้สีตัดกันอย่างรุนแรงแต่ก็เข้ากันได้อย่างประสานสัมพันธ์ ผลงานโดดเด่นที่ความคิดสร้างสรรค์ของศิลปินซึ่งแสดงออกอย่างเสรี มาติสส์ได้รับแนวคิดจาก เซซานน์ ทางรูปทรงและความรู้สึก แล้วนำมาปรับปรุงใหม่
"สิ่งที่ข้าพเจ้าฝันถึงคือ ศิลปะแห่งความสมดุล ความบริสุทธิ์และความสงบ โดยไม่พะวงถึงเรื่องราว ศิลปะที่ข้าพเจ้าต้องการเป็นศิลปะที่เหมาะสมสำหรับทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ในอาชีพใด ศิลปะคล้ายกับเก้าอี้โยกอย่างดีที่ให้ความสบาย คลายความเมื่อยล้าของร่างกายอย่างไรอย่างนั้น"
"โลกภายนอกที่เห็นชัดเจนนี้มีอยู่ในจิตใจของศิลปิน และความรู้สึกของสีขึ้นอยู่กับประสบการณ์ ความสัมพันธ์ของรูปและสีต้องสมดุลกันตามที่ศิลปินต้องการ"
"ในการมองภาพจิตรกรรม ควรจะลืมเสียเถิดว่ามันเป็นเรื่องอะไร"
"นั่นไม่ใช่รูปผู้หญิง แต่เป็นรูปเขียนผู้หญิง" เหล่านี้ คือความคิดของ อองรี มาติสส์ ซึ่งทำให้เราได้เห็นว่าเขาเป็นคนหัวก้าวหน้า กล้าคิด กล้าทำขนาดไหน มิหนำซ้ำยังกล้าวิจารณ์งานในแบบ นีโอ-อิมเพรสชั่นนิสม์อีกว่า การใช้สีแต้มจุดแบบนั้นเป็นเพียงกลวิธี หาใช่ความสุนทรีย์ไม่

ใหม่ได้โดยการนำเอาการเพ้นท์มาผสมผสานถ่ายทอด เป็นงานบอดี้เพ้นท์ที่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสัตว์ป่าหิมพานต์ ที่เป็นเรื่องของวรรณคดี จิตกรรมฝาผนัง และประติมากรรมมาถ่ายทอด

9. ระเบียบวิธีวิจัย
     9.1 ประชากร
            กลุ่มผู้บริโภคgen….. จำนวน ..... คน
     9.2 การสุ่มตัวอย่าง
             ใช้การสุ่มแบบง่าย ตามสูตรยามาเน
จากนั้นจึงกำหนดกระบวนการตามกรอบการวิจัย โดยมีรายละเอียด ดังนี้
9.2.1 ขั้นตอนการวางแผนก่อนการผลิต  (PRE-PRODUCTION)
- กำหนดประเด็นของปัญหา  ตัวแปรต้น  และตัวแปรตาม  เพื่อ
   ตั้งสมมติฐาน
- จัดทำแบบร่าง  (IDEA  SKETCH)  และทำการสรุปแบบตามสมมติฐาน 
  (CONCEPT  SKETCH)
9.2.2 ขั้นตอนการผลิต  (PRODUCTION)
    - แสดงกระบวนการผลิตต้นแบบเหมือนจริง
9.2.3 ขั้นตอนหลังการผลิต  ( POST  PRODUCTION)
-ประเมินผลด้วยเครื่องมือที่สร้างไว้โดยมีความสัมพันธ์กับลักษณะของ
  ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
- วิเคราะห์ข้อมูลและรายงานผลการวิจัยในรูปแบบความเรียง
    9.3  เครื่องมือในการวิเคราะห์มูล
            - แบบสอบถามความพึงพอใจในผลิตภัณฑ์
            - แบบสัมภาษณ์
     9.4  การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้
            - วิเคราะห์โดยการหาค่าเฉลี่ย ( X ) จากร้อยละ






10. แผนการดำเนินงานตลอดโครงการ
กิจกรรม
พ.ย. 55
ธ.ค.  55
ม.ค.  56
ก.พ.  56
หมายเหตุ
1.การวางแผนก่อนการผลิต 
     - ศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูล
     - แบบร่าง
     - สรุปแบบ



2.กระบวนการผลิต 
     - สรุปแบบ




3.กระบวนการหลังการผลิต 
     - ทดสอบสมมติฐาน  
     - วิเคราะห์ข้อมูล
     - แปรผล
     - เรียบเรียงรายงานการวิจัย






11. รายละเอียดงบประมาณ
      11.1 ค่าใช้สอย   
ลำดับ

                 รายการ
ราคาต่อ
 หน่วย
จำนวน
  รวมเงิน
หมายเหตุ
  1.
ค่าสี
200
12
2,400 บาท

  2.
ค่าผ้าใบ
500
3
1,500บาท

 
                                 รวมเป็นเงิน



3,900 บาท


  ลงชื่อ .............................................
                                                                                                 ( ณัฐวุฒิ นิลวิมุต  )
                                                                                                           ผู้ขอทุนวิจัย
                                                                                                     ......../........./..........


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น